วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2554

ผ้าไหมมัดหมี่อำเภอบ้านเขว้า



 ผ้าไหมมัดหมี่อำเภอบ้านเขว้า โดยเฉพาะตำบลบ้านเขว้า มีประวัติความเป็นมา อันยาวนานเป็นเวลานานเกือบ   200 ปี  ตั้งแต่สมัยเจ้าพ่อพระยาแล  เป็นชุมชนที่มีการทอผ้าไหมที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันมานานในหมู่ผู้นิยมผ้าไหม   และเกิดการเล่าขานแพร่กระจายในกลุ่มนักสะสมผ้าไหม  ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์ของตนเองสืบต่อถ่ายทอดกันมาแต่โบราณ 
            การทอผ้าไหมมัดหมี่ ชาวบ้านเขว้า ได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพชน นานเกือบ 200 ปีนับแต่มีการก่อตั้งชุมชนบ้านเขว้า  เริ่มจากการทอเพื่อใช้ในครัวเรือน ต่อมาได้เข้าไปมีส่วนร่วมในงานประเพณีต่างๆ เช่น งานแต่งงาน ใช้เป็นเครื่องแต่งกายของเจ้าบ่าว เจ้าสาว ใช้เป็นของไหว้สำหรับญาติฝ่ายชายในงานแต่งงาน งานบวชใช้แต่งตัวนาคและผู้ที่ไปร่วมงาน รวมถึงงานบุญ    งานทาน งานประเพณีต่างๆ ผู้คนจะแต่งกายด้วยผ้าไหม ทั้งหญิงและชาย เป็นการประกวด  ประชันทั้งฝีมือการทอและการตัดเย็บกันไปในที            
             




ผ้าไหมของบ้านเขว้า เริ่มเป็นที่รู้จักทั่วไปเมื่อประมาณ พ.ศ.2523 นายถนอม แสงชมภู   นายอำเภอขณะนั้น ได้นำผ้าไหมส่งศูนย์ศิลปาชีพ สวนจิตรลดา ด้วยคุณภาพของผ้าไหม ลวดลายที่แปลกตา และผีมือที่ปราณีต จึงได้รับความสนใจ มีผู้สั่งทอเป็นจำนวนมาก ต่อมาในปี พ.ศ.2530 ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิในขณะนั้น (ร.ต. สุนัย ณ อุบล รน. :ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ด้านผ้าไหม และผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าไหม) ได้ให้การส่งเสริมการผลิตและได้ส่งผ้าไหมบ้านเขว้าเข้าประกวดที่โครงการศิลปาชีพ พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ จังหวัดสกลนคร ได้รับรางวัลชนะเลิศ หลังจากนั้น ผ้าไหมบ้านเขว้าได้รับการคัดเลือกส่งเข้าประกวดและได้รับรางวัลชนะเลิศเกือบทุกปี
             เอกลักษณ์ของลายผ้า  เป็นการสะท้อนความเป็นอยู่ และวิถีชีวิตของชุมชนที่เชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อมของชุมชน  ก่อให้เกิดจินตนาการคิดค้นออกมาเป็นลวดลายต่างๆ  บนผืนผ้าถ่ายทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน
             การเชื่อมโยงผลิตภัณฑ์กับภูมิปัญญา มีการสาธิตการผลิตผลิตภัณฑ์และกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวมีส่วนร่วมในการผลิต เช่น  การทอผ้า  การเพนท์ผ้า  การหยอดทอง  เป็นต้น
              ในปี พ..2545 ในโครงการ หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์  ผ้าไหมบ้านเขว้าได้รับการพิจารณาเป็นสินค้าระดับ 5 ดาวของจังหวัดชัยภูมิ และในการประกวดสินค้าOTOP ของกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ผ้าไหมบ้านเขว้าได้รับรางวัลชนะเลิศของประเทศ ยอดจำหน่ายเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก เห็นได้
จากการจำหน่ายผ้าไหมในงานแสดงสินค้าที่ OTOP CITY เมืองทองธานี ยอดจำหน่ายสินค้า OTOP ของจังหวัดชัยภูมิรวมทั้งสิ้นประมาณ 18 ล้านบาทเศษ เป็นยอดจำหน่ายผ้า 14 ล้านบาทเศษ ในจำนวนนี้เป็นผ้าไหมบ้านเขว้าที่สามารถจำหน่ายได้ถึง 12 ล้านบาทเศษ ในเวลาเพียง 2 สัปดาห์           
                ปี พ..2547 อำเภอบ้านเขว้าได้รับเกียรติอันสูงยิ่ง ให้เป็นผู้ทอผ้าไหม ไม้แรกของประเทศ ในการทอผ้าตามโครงการ ถักร้อยดวงใจ มหกรรมผ้าไทย เทิดไท้องค์ราชินี ซึ่งจังหวัดต่าง ๆ จะทอผ้าแล้วนำมาต่อกันเป็นผืนเดียวที่มีความยาวหลายร้อยเมตรนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ  ในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุครบ 6 รอบ 72 พรรษา

ภูคิ้ง

ภูคิ้ง มีลักษณะเป็นภูเขาหินที่มีความสูงที่สุดของป่าภูเขียว ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นมรดกเม็ดงามแห่งอีสานใต้ มีความสูงถึง 1,214 เมตร จากระดับน้ำทะเล สูงเป็นอันดับ 5 ของยอดเขาในภาคอีสาน รองจากภูหลวง ภูเรือ เขาแหลมและภูกระดึงตามลำดับ ด้านหนึ่งเป็นภูผาสูงที่ให้มุมมองไกลสุดตา มีลานหินกว้างยื่นมาจากหน้าผา สามารถมองเห็นเขื่อนห้วยกุ่ม ภูกระดึง ภูแลนคา ภูเวียง หากมองลงตรงหุบเขาแคบ ๆ ด้านล่างจะเห็นทุ่งนา ไร่สวน เขื่อน อ่างเก็บน้ำ 
ยอดภูคิ้ง มีจุดท่องเที่ยวหลากหลาย เช่น ทุ่งหญ้าสะวันนา ที่มีความกว้างคล้ายสนามกอล์ฟบนภูเขาสูง พันธุ์ไม้ กล้วยไม้และสัตว์ป่านานาชนิด แลหินเงิบที่มีลักษณะเป็นหินวางซ้อนทับคล้ายเพิงหมาแหงน บริเวณนี้เป็นแหล่งกำเนิดพืชกินแมลง "หม้อข้าวหม้อแกงลิง" แลหินจ้อง ห่างจากแลหินเงิบ 3 กิโลเมตร จะเห็นเนินมหัศจรรย์วางซ้อนทับกับก้อนมหึมา แต่มีจุดตั้งเล็กๆเท่ากำปั้นเท่านั้น ชาวบ้านเรียก "หินจ้อง" หมายถึง ร่ม ในภาษาถิ่น เรียกว่า "แหลหินตัง" หรือ "แหลพรานอ่อน" การเดินทางพิชิตยอดภูคิ้ง ดังคำพูดเปรียบเปรยว่า "สี่ภูกระดึงยังไม่เท่าหนึ่งภูคิ้ง" 
การเดินทาง จากตัวเมืองชัยภูมิใช้ทางหลวงหมายเลข 2159 (ชัยภูมิ-หนองบัวแดง) จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 2037 หนองบัวแดง-เกษตรสมบูรณ์ วิ่งเข้าเส้นทางสายเกษตร-บ้านกลาง ถึงบ้านบุ่งสิบสี่และบ้านโนนหนองไฮ รวมระยะทางประมาณ 140 กิโลเมตร จากเชิงเขาถึงยอดภูคิ้ง มีระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร มีความสูงชันเกือบ 80 องศา บางช่วงต้องโหนเถาวัลย์ขึ้นและใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมงในการพิชิตภูคิ้ง
การเดินทางโดยโดยสารประจำทาง ใช้รถโดยสารสายชัยภูมิ-ชุมแพ ลงที่อำเภอภูเขียว ต่อรถภูเขียว-หนองบัวแดง ลงที่อำเภอเกษตรสมบูรณ์ ระยะทาง 22 กิโลเมตร ต่อรถสองแถวเกษตรสมบูรณ์-บ้านกลาง ลงที่บ้านบุ่งสิบสี่ 17 กิโลเมตร จากนั้นนั่งเรือแจวข้ามน้ำพรม เดินไปในเชิงเขาประมาณ 2 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางจากบ้านบุ่งสิบสี่ถึงยอดภูคิ้งประมาณ 5 ชั่วโมง

ถ้ำแก้ว

ถ้ำแก้ว จากอำเภอภักดีชุมพลไปทางทิศเหนือ 9 กิโลเมตร ตามทางหลวง 2359 ถึงบ้านซับเจริญมีทางแยกซ้ายไปอีก 5 กิโลเมตร ถ้ำแห่งนี้อยู่ภายในบริเวณวัดถ้ำแก้ว ลักษณะของถ้ำคล้ายห้องโถงลึกลงไปในภูเขา บรรยากาศเย็นและชื้นตลอดเวลา มีไฟฟ้าให้แสงสว่างภายในถ้ำ จากปากถ้ำมีทางเดินลงลึกไปถึงด้านล่าง ซึ่งมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ และมีหินย้อย อยู่ตามผนังถ้ำ เมื่อต้องแสงเกิดเป็นประกายแวววาวสวยงาม

พระธาตุหนองสามหมื่น

พระธาตุหนองสามหมื่น เป็นโบราณสถานที่มีความสำคัญและน่าสนใจมากแห่งหนึ่งของชัยภูมิ ตั้งอยู่ที่บ้านแก้ง จากตัวเมืองชัยภูมิเดินทางไปตามทางหลวงหมายเลข 201 ผ่านอำเภอภูเขียวไปจนถึงบ้านหนองสองห้องระยะทางประมาณ 80 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 2055 อีก 9 กิโลเมตรถึงบ้านแก้งและแยกซ้าย ไปวัดพระธาตุหนองสามหมื่นอีกประมาณ 5 กิโลเมตร พระธาตุหนองสามหมื่น เรียกชื่อตามหนองน้ำ ซึ่งอยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของวัด เป็นพระธาตุที่มีลักษณะสวยงาม และสมบูรณ์ที่สุดองค์หนึ่ง ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างขึ้นเมื่อใด แต่จากลักษณะทางด้านสถาปัตยกรรม และศิลปกรรมที่ปรากฏเกิดจากการผสมผสานกันระหว่างศิลปล้านนา ล้านช้าง และอยุธยา สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 21-22 ในสมัยพระไชยเชษฐาธิราชแห่งราชอาณาจักรลาว
พระธาตุหนองสามหมื่น มีลักษณะเป็นเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง ตั้งอยู่บนฐานเขียงรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีความสูงประมาณ 45 เมตร มีบันไดทางขึ้นทั้งสี่ด้าน เหนือฐานเขียงเป็นฐานบัวคว่ำบัวหงายรองรับองค์พระธาตุ ซึ่งมีซุ้มทั้งสี่ทิศ ประดิษฐานพระพุทธรูปปางรำพึง และปางลีลา ภายในองค์พระธาตุบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า รูปแบบดังกล่าวอาจเปรียบเทียบได้กับพระธาตุอื่นๆ ทั้งในนครเวียงจันทน์และในเขตไทย เช่น พระธาตุวัดเทพพล เมืองเวียงคุก จังหวัดหนองคาย พระธาตุศรีเมือง นครเวียงจันทน์ เป็นต้น

จากหลักฐานทางโบราณคดีพบว่า บริเวณนี้เคยเป็นเมืองโบราณขนาดใหญ่สมัยทวารวดี อายุราวพุทธศตวรรษที่ 12-16 ปรากฏร่องรอยของคูน้ำ คันดิน และโคกเนินโบราณสถานหลายแห่ง โบราณวัตถุสำคัญที่พบทั้งในและนอกเขตคูเมืองหลายชิ้น ได้นำมาเก็บรักษาไว้ที่วัด เช่น กลุ่มใบเสมาหินทราย บางแผ่นก็มีจารึกอักษรปัลลวะภาษาสันสกฤต อายุราวพุทธศตวรรษที่ 12-14 และมีแผ่นหนึ่งนำไปตั้งเป็นหลักเมืองประจำอำเภอภูเขียวด้วย นอกจากนี้ยังมีประติมากรรมรูปเคารพอีก 2 ชิ้น สภาพชำรุดชิ้นหนึ่งคล้ายเศียรพระพุทธรูปนาคปรก ในศิลปะขอมแบบบายน อายุราวพุทธศตวรรษที่ 18

ปรางค์กู่

ปรางค์กู่ ตั้งอยู่ที่บ้านหนองบัว ตำบลในเมือง จากตัวเมืองใช้ทางหลวงหมายเลข 202 (ชัยภูมิ-บัวใหญ่) ประมาณ 1 กิโลเมตร มีทางแยกขวาเข้าปรางค์กู่ตามทางหลวง 2158 เป็นระยะทางอีก 2 กิโลเมตร
ปรางค์กู่เป็นปราสาทหินสมัยขอม ที่มีแผนผังและลักษณะเช่นเดียวกับปราสาทอื่นที่เป็น อโรคยาศาล หรือสถานพยาบาลที่สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 18 นั่นคือ มีปรางค์ประธานอยู่ตรงกลาง 1 องค์ วิหารหรือบรรณาลัยด้านหน้า 1 หลัง ล้อมรอบด้วยกำแพงศิลาแลง นอกกำแพงตรงมุมทิศตะวันออกเฉียงเหนือมีสระน้ำ 1 สระ ปรางค์ประธานมีผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาด 5 เมตร ย่อมุมไม้สิบสอง ด้านหน้ามีประตูเข้าออกทำเป็นมุขยื่นออกมา ผนังปรางค์อีก 3 ด้านเป็นประตูหลอก เหนือประตูหลอกด้านทิศเหนือยังคงมีทับหลังติดอยู่ จำหลักภาพตรงกลางเป็นพระพุทธรูปประทับนั่งปางสมาธิเหนือหน้ากาล ซึ่งจับท่อนพวงมาลัยไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง ด้านหน้ามีทับหลังเช่นกันแต่ลบเลือนไปมาก ที่ช่องประตูหลอกด้านทิศเหนือ มีพระพุทธรูปศิลาปางสมาธิ ศิลปะแบบทวารวดี สูง 1.75 เมตร ประดิษฐานอยู่ โดยเคลื่อนย้ายมาจากที่อื่น ชาวชัยภูมิให้การเคารพสักการะ มีการจัดงานประจำปีในช่วงกลางเดือน 5 ของทุกปี

วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2554

ใบเสมาบ้านกุดโง้ง

ใบเสมาบ้านกุดโง้ง เก็บรักษาอยู่ภายในบริเวณโรงเรียนวัดกุดโง้ง ตำบลกุดตุ้ม จากตัวเมืองชัยภูมิไปตามทางหลวงหมายเลข 202 ประมาณ 12 กิโลเมตร มีทางแยกขวาไปอีก 3 กิโลเมตรถึงบ้านกุดตุ้ม แล้วแยกขวาเข้าเส้นทางสาย กุดตุ้ม-บุ่งคล้า อีก 4 กิโลเมตร ใบเสมาหินทรายศิลปทวารวดีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 12-15 ที่พบเป็นจำนวนมากในบริเวณรอบๆ หมู่บ้านได้ถูกนำมารวบรวมไว้ในอาคารอย่างเป็นระเบียบ ส่วนมากมีลักษณะเป็นแผ่นใหญ่ ด้านหน้าจำหลักลายและบางแผ่นมีจารึกอยู่ที่ด้านหลังด้วย ลวดลายที่ปรากฏเป็นเรื่องราวทางพุทธศาสนา เล่าเรื่องชาดกตอนต่างๆ หรือเป็นภาพรูปเคารพ เช่น ภาพพระโพธิสัตว์ประทับยืนบนดอกบัว ภาพพระพุทธเจ้าประทับนั่งบนบัลลังก์ใต้ต้นโพธิ์ นับเป็นกลุ่มเสมาที่สวยงามแห่งหนึ่งในอีสาน

เขื่อนจุฬาภรณ์ (เขื่อนน้ำพรม)

เขื่อนจุฬาภรณ์ (เขื่อนน้ำพรม) ตั้งอยู่ที่ตำบลทุ่งพระ อำเภอคอนสาร สร้างปิดกั้นลำน้ำพรมบนเทือกเขาขุนพาย ลักษณะเขื่อนเป็นเขื่อนหินทิ้ง แกนกลางเป็นดินเหนียว ตัวสันเขื่อนยาว 700 เมตร ความสูงจากฐานราก 70 เมตร เป็นลักษณะเขื่อนเอนกประสงค์ ในความดูแลของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยใช้ประโยชน์ในการผลิตพลังงานไฟฟ้าและยังอำนวยประโยชน์ในด้านเกษตรกรรม ในอ่างเก็บน้ำของเขื่อนยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาน้ำจืดอีกด้วย นอกจากนี้ บริเวณโดยรอบของเขื่อน ยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกคือ 
พระพุทธสิริสัตตราชจำลอง (หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์) ประดิษฐานที่บริเวณหัวเขื่อนฝั่งซ้าย ตรงข้ามสวนเขื่อนจุฬาภรณ์ 
สวนเขื่อนจุฬาภรณ์ ตกแต่งเป็นป่าอนุรักษ์ ในพื้นที่ประมาณ 41 ไร่ มีไม้ป่านานาชาติพร้อมศาลาพรมพิสมัยสำหรับนั่งพักผ่อน ทางเดินภายในสวนปูพื้นด้วยหินธรรมชาติ มีพืชโบราณ 325 ล้านปี เป็นพืชตระกูลหญ้ามี 2 สายพันธุ์ คือ สามร้อยยอดและสนหางม้าหรือหญ้าถอดปล้อง
ศาลาชมวิวหลุบควน เป็นจุดชมวิวอยู่ที่ระดับความสูง 800 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง มีสถานที่กางเต็นท์พักแรมและแคมป์ไฟ บริเวณริมอ่างเก็บน้ำ 
สถานริมน้ำข้างพระตำหนัก มีบรรยากาศสงบร่มรื่น สามารถมองเห็นสันเขื่อนได้ นอกจากนี้ยังมีสถานที่น่าสนใจอื่นๆอีกเช่น ทุ่งกะมัง สถานีวิจัยการเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าภูเขียว สวนรุกขชาติน้ำผุดทับลาว ถ้ำค้างคาวภูผาม่าน เป็นต้น

บริเวณเขื่อนมีทิวทัศน์ที่งดงาม อากาศเย็นสบายตลอดปี จึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจแห่งหนึ่งของจังหวัดชัยภูมิ ภายในบริเวณเขื่อนมีบ้านพัก ร้านอาหารไว้รับรองนักท่องเที่ยว เรือสำหรับให้ล่องชมอ่างเก็บน้ำ มีจุดชมวิวทิวทัศน์เหนือเขื่อน ศูนย์ทดลองพืชเมืองหนาว และหอดูดาว

เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว-ทุ่งกะมัง

 เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว-ทุ่งกะมัง มีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ป่าในเขตอำเภอคอนสาร เกษตรสมบูรณ์ และหนองบัวแดง ดำเนินงานด้านการอนุรักษ์สัตว์ป่า การเพาะเลี้ยงและการขยายพันธุ์สัตว์ป่า เช่น ไก่ฟ้าพญาลอ นกยูง เก้ง กวาง และเนื้อทราย เป็นต้น โดยปล่อยสัตว์ให้อาศัยอยู่ในพื้นที่ธรรมชาติ สามารถสืบพันธุ์และขยายพันธุ์ได้เอง ได้มีการจัดทำเส้นทางศึกษาธรรมชาติสำหรับผู้สนใจศึกษาธรรมชาติอย่างใกล้ชิด
ทุ่งกระมัง เป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ใจกลางเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว แหล่งอาหารที่สำคัญของสัตว์กินพืช มีเนื้อที่ 830 ไร่ เมื่อปี พ.ศ. 2526 และ พ.ศ. 2535โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ได้ปล่อยสัตว์ป่าคืนถิ่นในบริเวณนี้ เช่น เก้ง กวาง กระจง และนกต่างๆ มีการจัดทำดินโป่งในบริเวณทุ่งกะมังเพื่อให้สัตว์มากินดินโป่งและเผาแปลงทุ่งหญ้าเพื่อให้เกิดหญ้าระบัดเป็นอาหารของเก้ง กวางในช่วงฤดูแล้ง บนยอดเนินเหนือบริเวณทุ่งกะมัง มีพระตำหนักที่ประทับอยู่เหนืออ่างน้ำ
การเดินทางไปเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียวใช้เส้นทางเดียวกับเขื่อนจุฬาภรณ์ ก่อนถึงเขื่อน 3 กิโลเมตร มีทางแยกซ้ายจากด่านตรวจ (ปางม่วง) ไปยังที่ทำการเขตฯ อีก 24 กิโลเมตร การเข้ามาทัศนศึกษาในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ามีสองกรณีคือ หากเข้าชมแบบไป-กลับวันเดียว สามารถขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่บริเวณด่านตรวจปางม่วง กรณีพักค้างแรมต้องได้รับอนุญาตจากส่วนอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมป่าไม้ กรุงเทพฯโดยตรง ทางเขตฯค่อนข้างเคร่งครัดในกฎระเบียบเพราะสภาพพื้นที่ที่อุดมไปด้วยป่าไม้และสัตว์ป่า การเดินทางเข้ามาในพื้นที่ก็เสมือนการเข้ามารบกวนธรรมชาติ ดังนั้น จึงเหมาะสำหรับผู้ที่สนใจศึกษาธรรมชาติและสัตว์ป่าจริง ๆ และทางเขตฯไม่เปิดให้เข้าทัศนศึกษาในช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน

วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2554

อุทยานแห่งชาติภูแลนคา



อุทยานแห่งชาติภูแลนคา   ตั้งอยู่ในจังหวัดชัยภูมิ   มีเนื้อที่โดยประมาณ 92,500 ไร่   เป็นสภาพพื้นที่ป่าอนุรักษ์ตามกฏหมาย และป่าอนุรักษ์ตามมติคณะรัฐมนตรี  เมื่อวันที่ 10 และ 17 มีนาคม พ.ศ.2535  และที่สำคัญเป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำลำธาร  ป่าสมบูรณ์ ป่าฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ ป่าที่เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า รวมทั้งเป็นป่าที่คณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ คณะอนุกรรมการป้องกันและปราบปรามการลักลอบทำลายทรัพยากรป่าไม้ประจำจังหวัด ชมรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมจังหวัด องค์กรสิ่งแวดล้อม ภาคตะวันอกเฉียงเหนือ  องค์การบริหารส่วนตำบลทุกตำบลที่เกี่ยวข้อง  ให้การเห็นชอบและสนับสนุนให้จัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติภูแลนคา  โดยอย่างยิ่งพื้นที่ป่าอนุรักษ์อุทยานแห่งชาติเป็นส่วนหนึ่งของต้นน้ำและลำห้วยต่างๆ ที่ไหลรวมกันเป็นลุ่มน้ำและไหลกันเป็นแม่น้ำชี เดิมเป็นป่าสงวนแห่งชาติ ป่าภูแลนคาด้านทิศเหนือและป่าภูแลนคาด้านทิศใต้
อุทยานแห่งชาติภูแลนคา มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายหลายที่ด้วยกันในอดีต เคยเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางการทหาร (ประวัติทางการสู้รบ) และประวัติศาสตร์ของศาลปู่ด้วง (บุคคลทรงศีล) จุดเด่นที่น่าสนใจ ได้แก่ ตาดหินลาด
ตาดโตนน้อย ภูคำน้อย ภูกลาง ภูดี ผาเกิ้ง ผาเพ ผากล้วยไม้ ถ้ำเกลือ ถ้ำพระ แม่น้ำชี ลาดหินแตก เทพบูชา ประตูโขลง ทุ่งดอกกระเจียว
อุทยานแห่งชาติภูแลนคา   เหมาะสมที่จะต้อนรับนักท่องเที่ยวตลอดทั้งปี
ลักษณะภูมิประเทศ
โดยทั่วไปพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่บนเทือกเขาภูแลนคา   ซึ่งมีลักษณะเป็นพื้นที่ภูเขาสูงสลับซับซ้อน   เป็นพื้นที่ลาดชันสูง   เป็นพื้นที่ลาดเอียง   เป็นพื้นที่หน้าผาสูงสลับหุบเขา และเป็นพื้นที่ต้นน้ำลำธารที่ก่อกำเนิดลุ่มน้ำต่างๆ เช่น  ลุ่มน้ำชีล่างลุ่มน้ำห้วยสิ่ว   ลุ่มน้ำห้วยซับปีเส็ง   ลุ่มน้ำห้วยหินดาด   ลุ่มน้ำห้วยเดื่อ ฯลฯ  สูงจากระดับน้ำทะเล  300 - 900 เมตร   สภาพพื้นที่ส่วนใหญ่ มีความลาดชันตั้งแต่ 35% ขึ้นไป  มีอาณาเขตติดต่อกับ
     ทิศเหนือ                  จด   พื้นที่ปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม (สปก.) 
     ทิศใต้                     จด   พื้นที่ปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม (สปก.)
     ทิศตะวันออก             จด   ลำห้วยกุดทิวหรือห้วยช้างซ่อม
     ทิศตะวันตก               จด   แม่น้ำลี และพื้นที่ชลประทาน   ท้องที่ตำบลภูแลนคา
การเดินทาง
เส้นทางคมนาคม (ถนน) ระยะทางจากจังหวัดชัยภูมิ   ถึงอำเภอหนองบัวแดง  26  กิโลเมตร และระยะทางจากอำเภอหนองบัวแดง      ถึง สำนักงานอุทยานแห่งชาติภูแลนคา  17 กิโลเมตร   สภาพถนนส่วนใหญ่เป็นถนนลาดยาง
สิ่งอำนวยความสะดวก
อุทยานแห่งชาติภูแลนคา   มีสถานที่ให้นักท่องเที่ยวที่ต้องการพักแรมได้กางเต้นท์ จำนวน  5  แห่ง พักได้ทั้งหมด 50 คน พร้อมสวัสดิการต่างๆของอุทยานฯ  สนใจติดต่อโดยตรงที่งานบริการบ้านพัก     ฝ่ายนันทนาการและสื่อความหมาย  ส่วนอุทยานแห่งชาติ   สำนักอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ   กรมป่าไม้  กรุงเทพฯ โทร.5797223 , 5795734 หรือโทร.5614292-4 ต่อ 724 , 725

บุญเดือนหก


จังหวัดชัยภูมิ   ร่วมกับ    หน่วยงานภาครัฐและเอกชนจังหวัดชัยภูมิ  สนับสนุนการประชาสัมพันธ์โดย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)  สำนักงานนครราชสีมา ขอเชิญทุกท่านร่วม งานบุญเดือนหก (สักการะเจ้าพ่อพญาแล) ประจำปี ๒๕๕๔  ในระหว่างวันที่    ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๔  ณ บริเวณสวนสาธารณะหนองปลาเฒ่า ศาลเจ้าพ่อพญาแล และอนุสาวรีย์เจ้าพ่อพญาแล อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ

งานบุญเดือนหกของชัยภูมิที่ถือเป็นงานสักการะเจ้าพ่อพญาแล ถือเป็นงานเทศกาลฉลองความยิ่งใหญ่ของชาวชัยภูมิ เรียกว่า งานเทศกาลบุญเดือนหก อันเป็นการรำลึกถึง ความดีของท่าน โดยในการจัดงานนี้ประกอบด้วย พิธีบวงสรวงดวงวิญญาณของเจ้าพ่อพญาแล ขบวนแห่สักการะอนุสาวรีย์เจ้าพ่อ ขบวนถวายช้างแด่เจ้าพ่อ และขบวนแห่ของอำเภอต่าง ๆ   อีกทั้งกิจกรรมภายในงานที่น่าสนใจ อาทิ การแสดงศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น     การประกวดหลานปู่แล ประกวดร้องเพลงลูกทุ่งและพื้นบ้าน  การจัดนิทรรศการของทุกภาคส่วน  การแสดงดนตรีพื้นบ้านและศิลปินที่มีชื่อเสียง การแสดงดนตรีจากศิลปินที่มีชื่อเสียง  การแสดงและจำหน่ายสินค้าภูมิปัญญาท้องถิ่น OTOP ยิ่งใหญ่ตลอดการจัดงาน ทั้ง ๙ วัน ๙ คืน  สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  เทศบาลเมืองชัยภูมิ โทรศัพท์ ๐ ๔๔๘๑ ๑๖๕๗ ศูนย์บริการข่าวสารการท่องเที่ยว(อบจ.ชัยภูมิ) โทรศัพท์ ๐ ๔๔๘๑ ๑๓๗๖

งานเจ้าพ่อพญาแลและงานกาชาด



จังหวัดชัยภูมิ ร่วมกับ เหล่ากาชาดจังหวัดชัยภูมิ  สนับสนุนการประชาสัมพันธ์โดย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)สำนักงานนครราชสีมา ขอเชิญทุกท่านร่วม “ งานเจ้าพ่อพญาแลและงานกาชาดจังหวัดชัยภูมิ ประจำปี  2554 ”  ในระหว่างวันที่ 12  –  20 มกราคม 2554  ณ บริเวณอนุสาวรีย์พระยาภักดีชุมพล(แล) และสนามหน้าศาลากลางจังหวัดชัยภูมิ อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ
งานเจ้าพ่อพญาแลและงานกาชาดจังหวัดชัยภูมิ ที่จัดขึ้นในระหว่างวันที่  12 - 20 มกราคม 2554 ณ บริเวณอนุสาวรีย์พระยาภักดีชุมพล(แล) และสนามหน้าศาลากลางจังหวัดชัยภูมิ  อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ ถือเป็นกิจกรรมที่ชาวชัยภูมิได้จัดขึ้นเพื่อถวายสักการะแด่เจ้าเมืองคนแรกของจังหวัดชัยภูมิ “พระยาภักดีชุมพล” ซึ่งชาวชัยภูมิเรียกท่านว่า “เจ้าพ่อ พระยาแล” และถือเป็นงานประเพณีที่จัดขึ้นเป็นประจำในทุกปี โดยมีกิจกรรมภายในงาน อาทิ ขบวนแห่สุดยิ่งใหญ่อลังการพิธีบวงสรวงสักการะเจ้าพ่อพญาแล การออกร้านและจัดนิทรรศการของภาครัฐและภาคเอกชน การประกวดธิดาพญาแล แฟชั่นโชว์ผ้าไหม การแสดงดนตรีจากศิลปินที่มีชื่อเสียง การแสดงและจำหน่ายสินค้าภูมิปัญญาท้องถิ่น OTOP กิจกรรมที่น่าสนใจสุดยิ่งใหญ่ประจำปีของชัยภูมิ และจะทำให้เมืองชัยภูมิครึกครื้น เศรษฐกิจชัยภูมิคึกคักอย่างดียิ่ง

อนุสาวรีย์พระยาภักดีชุมพล

อนุสาวรีย์พระยาภักดีชุมพล (แล) ชาวบ้านเรียกว่าอนุสาวรีย์เจ้าพ่อพญาแล ตั้งอยู่กลางวงเวียนศูนย์ราชการ ในตัว เมือง ชาวชัยภูมิได้ร่วมกันสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่เจ้าเมืองคนแรกของชัยภูมิ ตามประวัติเล่าว่า ในปี 2360 ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ 2 นายแล ซึ่งเป็นข้าราชการสำนักเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ ได้อพยพ ครอบครัวและบริวารข้ามลำน้ำโขงมาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านน้ำขุ่น บริเวณอำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมาในปัจจุบัน ต่อมา จึงได้ย้ายชุมชนมาตั้งใหม่ที่โนนน้ำอ้อม บ้านชีลอง ห่างจากตัวเมืองชัยภูมิ 6 กิโลเมตร ได้ส่งส่วยต่อเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ ต่อมาจึงย้ายชุมชนมาอยู่ที่บ้านหลวง ในเขตอำเภอเมืองปัจจุบัน และได้หันมาขึ้นตรงต่อเมืองนครราชสีมา ส่งส่วยแก่ รัชกาลที่ 3 ไม่ขึ้นแก่เจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์อีกต่อไป จึงโปรดเกล้าฯ ยกบ้านหลวงเป็นเมืองชัยภูมิ และแต่งตั้ง ขุนภักดีชุม พล (แล) เป็นเจ้าเมืองคนแรกของชัยภูมิ ครั้น พ.ศ. 2369 เจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ก่อการกบฎ ยกทัพเข้าตีเมืองนครราชสีมา ขุนภักดีชุมพลพร้อมเจ้าเมืองใกล้เคียงยก ทัพไปสมทบกับคุณหญิงโม ตีกระหนาบทัพเจ้าอนุวงศ์จนแตกพ่าย เจ้าอนุวงศ์เกิดความแค้นจึงย้อนกลับมาจับขุนภักดีชุม พลประหารชีวิตที่บริเวณใต้ต้นมะขามริมหนองปลาเฒ่า ด้วยความดีที่ขุนภักดีชุมพลมีต่อแผ่นดินไทยจึงได้รับพระราชทาน บรรดาศักดิ์เป็น พระยาภักดีชุมพล (แล) จังหวัดชัยภูมิจัดงานประจำปีเจ้าพ่อพญาแลในราวเดือนมกราคมของทุกปี